Post Top Ad

พูดถึงปัญหายอดฮิตของสมาร์ทโฟนสมัยนี้ เชื่อว่าปัญหาหลักปัญหาหนึ่งคงจะหนีไม่พ้นปัญหาแบตเตอรี่ไม่พอใช้จนต้องพึ่ง Powerbank ไว้ชาร์จแบตระหว่างวันกันระนาว แต่ครั้งนี้ทีมงานมีเทคนิคที่จะช่วยให้แบตเตอรี่นั้นหมดช้าลง และใช้งานเครื่องได้คุ้มกว่าเดิมมาฝากกันด้วยครับ

คำแนะนำเบื้องต้นจาก Apple

Screen Shot 2015-03-23 at 11.54.50 PM
Apple เองก็มีคำแนะนำเบื้องต้นเรื่องแบตเตอรี่ให้อ่านกันพอสมควร ซึ่งทีมงานได้สรุปประเด็นสำคัญๆ ออกมาแล้ว ก็มีดังนี้ครับ

1.) อัปเดต iOS ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด

IMG_0965
ในอัปเดตแต่ละครั้งของ iOS อาจจะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพและปรับปรุงเรื่องการใช้งานแบตเตอรี่เข้ามาบ้าง ซึ่ง Apple ก็แนะนำว่าให้อัปเดต iOS เป็นเวอร์ชันใหม่ทันทีถ้าเป็นไปได้
ดูวิธีอัปเดต iOS เป็นเวอร์ชันล่าสุดได้ ที่นี่ >> สรุปขั้นตอน วิธีการอัปเดต iOS แบบง่ายๆ ผ่าน iPhone/iPad

2.) เก็บให้ห่างจากพื้นที่ที่มีความร้อนสูงหรือต่ำผิดปกติ

Screen Shot 2015-03-23 at 11.53.27 PM
ตัว iPhone เองก็มีลิมิตของพื้นที่ที่สามารถใช้งานได้ ซึ่งลิมิตนี้ Apple ได้ระบุคร่าวๆ เอาไว้แล้วครับ คือทำงานตามปกติได้ที่อุณหภูมิห้อง (0-35 องศาเซลเซียส) และไม่ควรใช้งานในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิผิดปกติ คือเย็นกว่า 0 องศาเซลเซียส หรือร้อนกว่า 35 องศาเซลเซียส เป็นต้น
พูดง่ายๆ ก็คือ อย่าเอา iPhone ไปวางตากแดดหน้ารถนั่นเอง 

3.) เมื่อไม่ใช้นานๆ ชาร์จไฟเอาไว้ที่ 50% ก่อนเก็บใส่กล่อง

กรณีไม่ใช้งานเครื่องเป็นเวลานาน (เช่น เครื่องรุ่นเก่าแล้ว เอาไว้รับสายอย่างเดียว ฯลฯ) หากต้องการถนอมแบตเตอรี่ Apple แนะนำว่าควรชาร์จแบตเอาไว้ที่ 50% แล้วถอดออก แล้วให้ชาร์จอีกครั้งเมื่อแบตเตอรี่ต่ำกว่า 20% โดยที่ไม่ควรชาร์จแบตให้เต็ม หรือใช้งานตัวเครื่องให้แบตหมด เพราะการทำแบบนี้จะมีผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่เองครับ
หากเก็บเครื่องใส่กล่องเป็นเวลานาน ควรนำเครื่องออกมาเติมไฟให้ถึง 50% ทุกๆ 6 เดือนด้วยนะครับ :)


นอกจากคำแนะนำเบื้องต้นแล้ว ทีมงานยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมดังต่อไปนี้อีกด้วยครับ

4.) เปิด Wi-Fi ทิ้งไว้ และใช้ Wi-Fi แทน 3G ทุกครั้ง ถ้าเป็นไปได้

IMG_1152
เมื่อก่อน การใช้ Wi-Fi บนโทรศัพท์มือถือ เป็นเรื่องที่หลายคนไม่อยากจะทำกันนัก เพราะการต่อค้างไว้ เป็นการผลาญแบตอย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้การใช้ Wi-Fi ไม่ต้องใช้พลังงานมาก จนเราสามารถเปิดค้างไว้ได้เลยโดยไม่ต้องเปิดๆ ปิดๆ อีกต่อไป
แต่หารู้ไหมว่า เทคโนโลยี Wi-Fi ในปัจจุบันนั้นกินไฟน้อยกว่า 3G/4G มากๆ ทำให้การเปิด Wi-Fi ทิ้งเอาไว้ ไม่ว่าจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือไม่ ตัวเครื่องจะใช้ประโยชน์จากจุดนี้ ช่วยในการหาตำแหน่งเสาสัญญาณ และเพิ่มความแม่นยำของ GPS โดยลดภาระการใช้งาน 3G/4G ลงได้ ทำให้เวลาใช้งานแอปกล้อง หรือแอปแผนที่ เครื่องจะประหยัดไฟกว่าตอนปิด Wi-Fi เอาไว้อยู่มากโขเลยล่ะครับ!
คาดไม่ถึงใช่ไหมล่ะ…


5.) ปิดการค้นหาสัญญาณ 4G หรือ LTE เมื่ออยู่ในพื้นที่อับสัญญาณ

IMG_1153
ในบางครั้ง เราต้องเดินทางเข้าสู่พื้นที่อับสัญญาณอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดินทางตามเส้นทางระหว่างเมืองเป็นต้น ถ้าเป็นเช่นนี้ แนะนำให้ปิดการค้นหาสัญญาณ 4G ทันทีครับ เพราะเมื่ออยู่ในพื้นที่อับสัญญาณ ตัวเครื่องจะส่งสัญญาณแรงขึ้นเพื่อค้นหาสัญญาณ ซึ่งการที่เป็นแบบนี้ ก็ย่อมทำให้การใช้พลังงานนั้นมากขึ้นพอสมควร
สำหรับการปิดการค้นหาสัญญาณ 4G หรือ LTE มีทั้งหมดสองวิธี ดังนี้ครับ
  • กรณีใช้ AIS – เข้าไปที่ Settings > Cellular > Voice & Data (การตั้งค่า > เซลลูลาร์ > เสียงและข้อมูล)
    แล้วเลือกการค้นหาสัญญาณเป็น 2G หรือ 3G
    เพื่อให้ตัวเครื่องจับสัญญาณ EDGE บนเครือข่าย 2G หรือจับสัญญาณ 3G แทน
  • กรณีใช้เครือข่ายอื่นที่ไม่ใช่ AIS เช่น dtac หรือ TrueMove H – เข้าไปที่ Settings > Cellular (การตั้งค่า > เซลลูลาร์)
    แล้วปิด Enable 4G เพื่อปิดสัญญาณ 4G (กรณีนี้จะปิดเฉพาะสัญญาณ 4G เท่านั้น สัญญาณ 3G ยังคงค้นหาตามปกติ)
แต่หากอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณ 4G ครอบคลุม ก็ไม่ต้องปิด 4G นะครับ


6.) ปรับหน้าจอไม่ให้สว่างไป และเปิดโหมดปรับแสงหน้าจออัตโนมัติ

IMG_1154
สิ่งหนึ่งที่กินไฟมากสุดในสมาร์ทโฟนปัจจุบัน คือหน้าจอนั่นเอง บางครั้ง หน้าจอ iPhone ก็สว่างเกินความจำเป็นในเวลากลางวัน ทำให้เครื่องใช้แบตเตอรี่เปลืองโดยเปล่าประโยชน์
ดังนั้น ให้เราเข้าไปปรับความสว่างของหน้าจอตัวเองที่ Settings > Display & Brightness (การตั้งค่า > จอแสดงผลและความสว่าง) และเลื่อนแถบ Brightness ลงมาตามความเหมาะสม ให้อยู่ในระดับที่มองเห็น และกดเปิด Auto-Brightness (ปรับความสว่างอัตโนมัติ) เอาไว้ด้วยเพื่อเปิดใช้งานโหมดปรับแสงหน้าจออัตโนมัติ
หลังจากนี้ถ้าพบว่าหน้าจอยังสว่างไป เราสามารถปรับแสงหน้าจอได้ด้วยตัวเอง ด้วยการลากแผง Control Center ขึ้นมาจากขอบล่างของหน้าจอ แล้วเลื่อนปรับแสงตามความต้องการได้


7.) ปิด Background App Refresh ของแอปที่ไม่ได้ใช้บ่อย

 
 ปัจจุบัน แอปพลิเคชันสมัยใหม่ มักจะมีการขอใช้ Background App Refresh เพื่อแอบดึงข้อมูลใหม่ๆ อยู่บ่อยครั้ง การปิดการใช้งานจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยประหยัดแบตได้พอสมควร แต่หากปิดหมดก็ทำให้เราใช้ iPhone ได้ไม่คุ้มไปเสียอย่างนั้น 
จากที่ทีมงานลองใช้งานมา พบว่า แอปที่กินแบตมากที่สุดในกรณีนี้ คือ “Facebook และ Twitter” ครับ
ถ้าเปิด Background App Refresh ของสองแอปนี้ไว้ ผลคือ เวลาเรากดเข้าไปดู Feed หรือ Timeline แอปจะแอบโหลดข้อความใหม่ๆ โพสต์ใหม่ๆ มาให้เราก่อนล่วงหน้าแล้วตอนที่เน็ตเราดี ทำให้ไม่เสียเวลาโหลด แต่ก็แอบใช้แบตเตอรี่เครื่องอย่างมหันต์ทีเดียว หากปิด Background App Refresh ไป เวลาเราเข้า Facebook หรือ Twitter ก็ต้องรอโหลดข้อความใหม่สักครู่ ถึงจะรอหน่อย แต่เครื่องเราจะประหยัตแบตเตอรี่ได้มากโขครับ
ดังนั้น ถ้ารู้สึกว่าแบตลดไวมาก แนะนำให้ปิด Background App Refresh ของสองแอปนี้ รวมถึงแอปที่ไม่ได้ใช้บ่อยไปเลยครับ
วิธีปิด ให้เข้าไปที่ Settings > General > Background App Refresh (การตั้งค่า > ทั่วไป > ดึงข้อมูลใหม่ให้แอปอยู่เบื้องหลัง) และเลื่อนปิดเป็นรายแอปไปครับ


8.) เปิด Notification เท่าที่จำเป็น

IMG_1156 IMG_1157
การรับ Notification จากระบบแต่ละครั้งก็เช่นกัน ปัจจุบันแอปพลิเคชันต่างๆ มีการยิง Notification ค่อนข้างถี่ และบ่อยครั้ง การเลือกเปิด Notification เท่าที่จำเป็น ก็จะช่วยให้ประหยัดแบตได้ในระดับหนึ่ง โดยให้เข้าไปที่ Settings > Notifications (การตั้งค่า > การแจ้ง) และเลือกปิด Notification ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานออกไป


9.) ปรับลดความถี่ในการเช็คอีเมลใหม่ๆ ให้น้อยลง

IMG_1158
หลักการทำงานของแอปอีเมลสมัยใหม่นั้น เครื่องจะแอบถามเซิร์ฟเวอร์อีเมลของเราอยู่เรื่อยๆ ว่ามีอีเมลใหม่มาหรือยัง ดังนั้น การปรับให้เครื่องขอข้อมูลได้ช้าลงนั้น ก็จะช่วยให้แบตเตอรี่มีอายุที่ยาวขึ้น โดยให้เข้าไปที่ Settings > Mail, Contacts, Calendars > Fetch New Data (การตั้งค่า > เมล รายชื่อ ปฏิทิน > ดึงข้อมูลใหม่) และปรับลดการใช้งานเท่าที่จำเป็น
สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ต้องรีบติดต่ออะไรมาก ปรับไว้ที่ “Hourly” (ทุกชั่วโมง) ก็เพียงพอแล้วครับ เครื่องก็จะแอบเช็คเมลใหม่ให้เราทุกชั่วโมง แทนที่จะเป็นทุก 15 นาทีแทน หรือหากไม่ค่อยได้ใช้อะไร และรอคนมาบอกให้ไปดูอีเมลอยู่เป็นประจำ จะปรับเป็น Manually (กำหนดเอง/เข้าไปดูเอง) ก็ได้
ในจุดนี้ หากมีคนส่งอีเมลด่วนมาให้ และบอกเราว่าให้เข้าไปเช็คเมล เมื่อเราเปิดแอปเมลขึ้นมา เมลจะโหลดเองอัตโนมัติเหมือนเดิมครับ ไม่มีผลกระทบใดๆ สบายใจได้ว่าจะไม่พลาดการติดต่อ


10.) ปรับลดการใช้ Location Service ในแอปที่ไม่ได้ใช้งานตลอด

  
Location Service หรือบริการสืบหาตำแหน่งที่ตั้งผ่าน GPS ของ iPhone นั้น ช่วยให้เราใช้งานแอปได้หลากหลายมากในปัจจุบัน แต่หารู้ไหมว่า หลายแอปนั้นแอบใช้ GPS อยู่เบื้องหลังตลอดเวลาจนเปลืองแบตเตอรี่โดยใช่เหตุ อาทิ
  • แอปเช็คอินและหาสถานที่ อย่าง Swarm, Foursquare ฯลฯ
  • แอปสภาพอากาศ อย่าง Yahoo Weather ฯลฯ
เราจึงแนะนำให้ปรับการใช้งาน Location Service ของแอปเหล่านี้ใหม่ โดยไปที่ Settings > Privacy > Location Services(การตั้งค่า > ความเป็นส่วนตัว > บริการหาที่ตั้ง) และเลือกเป็น “While Using the App” (ในขณะใช้แอป)
และสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องการโชว์สถานที่ว่าเราอยู่ที่ใด เวลาใช้ Social Network ก็ให้ปิดการใช้งาน Location Service ของ Facebook, Twitter, LINE และอื่นๆ ฯลฯ ได้ตามอัธยาศัยครับ
แอปที่ไม่แนะนำให้ปิด Location Service (ให้เปิดไว้ตลอด) คือ แอปกล้อง ทั้งหลายแหล่ครับ เพราะจะมีการบันทึกข้อมูล GPS ไว้ตลอดว่ารูปภาพเหล่านี้ถ่ายที่ไหน เวลากดดูรูปในอัลบั้ม จะดูสวยงามและเป็นหมวดหมู่กว่านั่นเอง

หลังจากปรับทั้งหมดแล้ว แนะนำให้ลองใช้งานดูสักพักหนึ่ง รับรองครับว่าเราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงแบบไม่คาดคิดของ iPhone ของเรากันแน่นอนครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก :macstroke

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คิดยังไงกันบ้างครับ : แสดงความเห็นให้เพื่อน ๆ รับรู้หน่อย

Post Top Ad